ABOUT

ประวัติความเป็นมา

หลังจากเรียนจบมัธยมปลาย ผมลงทะเบียนเรียนในโรงเรียนอาชีวศึกษา แต่เนื่องจากผมมีนิสัยที่ใจร้อน ผมจึงทะเลาะกับรุ่นพี่และต้องลาออกหลังจากผ่านไปสามเดือน หลังจากนั้น ผมเริ่มทำงานที่ร้านอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม (ร้านคัปโปะ) ในฐานะพนักงานฟูลไทม์ หลังจากทำงานที่นั่นได้สองปี ผมก็ได้พบกับเพื่อนร่วมชั้นจากโรงเรียนมัธยมต้นอีกครั้งในพิธีบรรลุนิติภาวะและแต่งงานกัน หลังจากแต่งงานผมก็เริ่มทำงานเป็นคนขับรถบรรทุกในตอนกลางวันและทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านอาหารอิซากายะในตอนกลางคืน ตอนที่ผมอายุ 26 ปี ผมถูกทาบทามจากร้านเนื้อย่างแห่งหนึ่งที่ครอบครัวของผมไปกินข้าวบ่อยๆ ผมจึงเริ่มทำงานที่นั่นในตำแหน่งผู้จัดการ แต่เนื่องจากสถานการณ์บางอย่างที่ร้าน ผมจึงลาออกหลังจากผ่านไปได้สามเดือน ตอนนั้นเองที่ผมเริ่มคิดถึงการมีร้านอาหารเป็นของตัวเอง

ผมไม่มีความรู้มากนักเกี่ยวกับการบริหารจัดการและยังไม่เก่งในการบริการลูกค้าและการพูด แต่ผมคิดว่า “ถ้าผมได้ลอง ผมก็จะทำให้สำเร็จ!” ดังนั้นผมจึงเปิดร้าน Shakariki 432” แห่งแรกในโนดะ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของผม ร้านเล็กๆ ที่มีที่นั่งเพียง 30 ที่นั่ง ด้วยเงิน 6 ล้านเยนที่ผมเก็บสะสมมาตลอด 6 ปี ตั้งแต่อายุ 20 ถึง 26 ปี ในตอนแรก ผม ภรรยา และพนักงานพาร์ทไทม์อีกสองคนเป็นผู้จัดการร้าน สองสามเดือนแรกนั้นยากลำบาก แต่ด้วยการลองผิดลองถูกมากมายตามคติประจำใจของผม “คิดแล้วต้องลงมือทำทันที” และความช่วยเหลือจากลูกค้า พนักงาน และภรรยา ในที่สุดสาขาแรกของผมก็ทำกำไรหลังจากเปิดร้านได้หนึ่งปี สาขาแรกเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นหลังจากจ้างลูกค้าประจำที่ต้องการร่วมงานกับเรา

สองปีสามเดือนหลังจากเปิดสาขาแรก ผมเปิดสาขาที่สองในชิน-ฟุกุชิมะ หลังจากนั้นก็เปิดร้านในอุเมดะ นัมบะ และโอฮิรากิโดยไม่หยุด นั่นคือช่วงเวลาที่ผมได้ใจที่สุด แต่ช่วงเวลาเหล่านั้นไม่คงอยู่ตลอดไป

สิ่งที่ผมกังวลที่สุดคือพนักงาน เมื่อจำนวนพนักงานเพิ่มขึ้นและร้านเริ่มเปิดทำการโดยไม่มีผม งานที่เหลืออยู่สำหรับผมจึงเป็นเพียงฝ่ายบริหาร และส่วนที่สนุกที่สุดในการทำงานบริการลูกค้าก็หายไป ซึ่งก็คือการพูดคุยกับลูกค้าและให้ความบันเทิงกับพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น ในวันหนึ่งมีพนักงานคนหนึ่งขอเป็นอิสระและผมก็ยอมรับ แต่สุดท้ายเขากลับเปิดร้านอาหารที่คล้ายกับร้านของผมและยังใกล้กับร้านของผม ดังนั้นผมจึงเริ่มที่จะเชื่อใจพนักงานไม่ได้ เมื่อมองย้อนกลับไปในตอนนี้ ผมเริ่มหมกมุ่นอยู่กับการขยายร้าน โดยละเลยที่จะสร้างระบบพื้นฐานที่ดีและล้มเหลวในการสร้างบริษัทที่น่าดึงดูด พนักงานจึงเริ่มที่จะทิ้งผมไป

นั่นเป็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน ผมเชื่อว่าที่ผมเป็นอย่างทุกวันนี้เพราะประสบการณ์เหล่านี้ มันทำให้ผมตระหนักว่าการสร้างความสัมพันธ์กับพนักงานมีความสำคัญเพียงใด เพื่อตอกย้ำความเจ็บปวด สาขาที่โอฮิรากิถูกทำลายด้วยเปลวเพลิง สาขาแรกที่โนดะได้รับคำสั่งให้ปิดกิจการ และสาขาที่อุเมดะประสบปัญหาทางการเงิน ดังนั้นผมจึงตัดสินใจขายสาขาเหล่านั้น ในท้ายที่สุด เหลือเพียงสาขาที่สองที่โนดะและสาขาชิน-ฟุกุชิมะเท่านั้น

ตอนนั้นเองที่ผมเริ่มคิดที่จะขยายธุรกิจเข้าสู่ประเทศไทยด้วยเงิน 10 ล้านเยน ซึ่งผมเคยไปมาหลายครั้งแล้วเพราะการที่จะขยายสู่ประเทศไทยมีข้อดีหลายอย่าง เช่น การสต๊อกวัตถุดิบ ลักษณะนิสัยของคนไทย และความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต และผมรู้สึกว่ากรุงเทพก็คล้ายๆ กับโอซาก้า ด้วยเหตุนี้ ผมจึงตัดสินใจขยายธุรกิจเข้าสู่ประเทศไทยในเดือนธันวาคม 2011 ผมทำการวิจัยตลาดในไทยเป็นเวลาหนึ่งเดือนนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2012 แต่เนื่องจากผมไม่รู้จักใครที่นั่น ผมจึงตระเวนไปใช้บริการร้านอาหารญี่ปุ่นและศึกษารวบรวมข้อมูล หลังจากนั้นผมเริ่มใช้ชีวิตในประเทศไทยในเดือนพฤษภาคม 2012 และเปิดร้าน “Shakariki 432” ที่อโศกในเดือนกรกฎาคม

ผมเปิดสาขาแรกในประเทศไทยด้วยความกระตือรือร้น แต่ก็ต้องเผชิญกับปัญหามากมายที่นี่ เป็นปัญหาที่ไม่อาจจินตนาการในญี่ปุ่น เช่น ปัญหาการระบายอากาศ เครื่องปรับอากาศทำงานผิดปกติ และปัญหากับตำรวจท้องที่ ในตอนแรกสถานการณ์นั้นยากลำบาก แต่ต้องขอบคุณการทำงานอย่างทุ่มเทของพนักงานของผมทุกคน ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ช่วงเวลาในการขยายเข้าสู่ประเทศไทยเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ ในขณะนั้น ผมรู้อีกครั้งว่ามันขึ้นอยู่กับว่าเราจะเคลื่อนไหวในเวลาที่เหมาะสมได้หรือไม่

สไตล์ของผมคือการใช้เงินออมของบริษัทเพื่อลงทุนในขั้นตอนต่อไป ผมจึงไม่เพียงแต่ขยายสาขาของตัวเองเท่านั้น เช่น “Shakariki432” และ “Shakarich” แต่ยังทำข้อตกลงแฟรนไชส์กับแบรนด์อาหารญี่ปุ่นและไทยเช่น “Nikusho” , “Towa no Tofu”, “Tenyo Ramen”, ” Joto Curry ” และ “Tokumasa Curry Udon” เพื่อขยายสู่ตลาดไทย ปัจจุบันมีร้าน Shakariki432″ 22 สาขา (ร้านที่จัดการโดยตรง 15 สาขา/ร้านแฟรนไชส์ ​​7 สาขา), ร้าน Shakarich 2 สาขา,  Nikusho 1 สาขา, Towa no Tofu Cafe & Hotel 1 สาขา, Tenyo Ramen/Joto Curry/Tokumasa Curry Udon 5 สาขา, Tenyo Ramen 1 สาขา (ร้านแฟรนไชส์) และรวมถึงแบรนด์อื่นๆ เรามีร้านทั้งหมด 32 แห่งในประเทศไทย และร้านละ 2 สาขาในมาเลเซียและกัมพูชา เรายังวางแผนที่จะเปิดร้านอาหารในประเทศอื่นๆ ด้วย เราไม่เคยหยุดที่จะท้าทาย

CEO INTERVIEW

清水社長

ทำไมถึงเปิดสาขาใหม่ตลอดเวลา?

เพราะว่าผมไม่ได้เป็นหนี้ ผมไม่สามารถกู้เงินได้ง่ายๆในญี่ปุ่น และนั่นคือสิ่งที่ดี และแม้ว่าวันนึงกิจการของผมจะพัง แต่ผมก็ไม่ติดลบ ผมไม่มีความเครียด ผมไม่มีความกดดันในการเปิดสาขาใหม่ๆ ฉะนั้นหากคุณมีสถานที่ดีๆ ช่วยบอกผมด้วย และผมจะสร้างระบบที่ดี จากประสบการณ์ที่ผมทำพลาดตอนผมอยู่ญี่ปุ่น

อะไรคือกุญแจแห่งความสำเร็จของคุณ?

ผมไม่เคยคิดว่าผมประสบความสำเร็จในบริษัทนี้ ผมแค่เชื่อว่าผมไม่เคยพลาดโอกาสจากคนรอบข้างที่ช่วยเหลือผม หากผมพบใครที่กำลังหางานทำอยู่ ผมจะถามเพื่อให้คนๆนั้นมาช่วยงานผม ผมไม่เคยพลาดโอกาส เวลาเป็นเรื่องสำคัญ ผมมีปัญหากับการสื่อสารกับพนักงานคนไทยของผม แต่อย่างไรก็ดี ผมไม่เคยพลาดโอกาสนั้นๆ มันเป็นเรื่องยากที่ต้องอธิบายให้เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องอาหารญี่ปุ่น แต่ด้วยความที่เป็นผม ผมก็สามารถสนุกกับมันได้ คนไทยดื่มกินเยอะพอๆกับคนญี่ปุ่น ลูกค้าคนไทยของเราจริงๆแล้วมีมากกว่าลูกค้าคนญี่ปุ่นเสียอีก ผมประสบความสำเร็จในการทำให้ลูกค้าคนไทยรู้จักเรามากขึ้นผ่านทางเฟสบุ๊ค ปรกติผมไม่ได้โพสต์แค่เรื่องโปรโมชั่น แต่ผมก็โพสต์เกี่ยวกับความสนุกสนานด้วยเช่นกัน เช่นว่ารูปปั้นโมอายและเบียร์ลูกผู้ชาย

คุณมีอะไรจะบอกกับเด็กรุ่นใหม่ที่อยากจะทำงานอย่างอิสระบ้างไหมครับ?

อยากให้คนรุ่นใหม่รวบรวมความกล้าและเดินไปข้างหน้า ตราบใดที่มีคนสนับสนุนคุณ อย่าล้มเลิกความตั้งใจ คว้าโอกาสนั้น ผมเคยทำพลาดที่ญี่ปุ่นเพราะผมไม่เคยทำกฎระเบียบในบริษัท ผมอยากสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับพนักงานของผม